“อาเซียนเสาเศรษฐกิจ: โจทย์วิจัยด้านแรงงานและการลงทุน”
วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม 2555 เวลา 13.00 – 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ชั้น 14อาคาร SM Tower
การจัดประชุมเวทีASEAN Forumครั้งที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการวิจัยเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยเน้นด้านแรงงานและการลงทุน โดยมีนักวิชาการ 3 ท่าน มานำเสนอข้อเสนอโครงการวิจัย (research proposal) และมีผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องทั้งจากภาครัฐภาควิชาการและภาคเอกชนมาให้ความคิดเห็นเพื่อพัฒนาโจทย์วิจัยร่วมกัน
เริ่มจาผศ.ดร. กมลพร สอนศรีจากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลนำเสนอโครงการวิจัยหัวข้อ“การเคลื่อนย้ายแรงงานวิชาชีพของประเทศฟิลิปปินส์ :โอกาสและผลกระทบต่อตลาดแรงงานไทย” ซึ่งจะศึกษานโยบายกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือของฟิลิปปินส์บทบาทของภาคส่วนต่างๆที่ช่วยผลักดันแรงงานฝีมือออกนอกประเทศแนวโน้มของแรงงานวิชาชีพที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทยและปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้แรงงานวิชาชีพมาทำงานในประเทศไทยรวมทั้งวิเคราะห์โอกาสและผลกระทบต่อตลาดแรงงานไทยในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนโดยเน้น 7 อาชีพที่ได้มีการลงนามร่วมกันในMRAได้แก่1.วิศวกรรม 2.การสำรวจ 3.สถาปัตยกรรม4.แพทย์ 5.ทันตแพทย์ 6.พยาบาลและ7.บัญชี
หลังจากนำเสนอได้รับข้อเสนอแนะให้ปรับเปลี่ยนการศึกษาโอกาสและผลกระทบต่อตลาดแรงงานไทยเป็นการศึกษาในส่วนของโครงสร้างและระบบการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันการเคลื่อนย้ายแรงงานออกนอกประเทศตลอดจนเงื่อนไขในการให้แรงงานมีฝีมือชาวฟิลิปปินส์เข้ามาทำงานในประเทศไทยสาเหตุปัจจัยดึงดูดและปัจจัยผลักดันที่ทำให้แรงงานมีฝีมือชาวฟิลิปปินส์เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยโดยให้เลือกศึกษาเพียง 2-3 วิชาชีพเท่านั้นสำหรับทฤษฎีที่สามารถนำมาใช้มีอาทิทฤษฎีการเคลื่อนย้ายแรงงานทฤษฎีการย้ายถิ่นและการย้ายถิ่นระหว่างประเทศจึงนำมาสู่การปรับหัวข้อวิจัยเป็น“การศึกษาการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือของประเทศฟิลิปปินส์”
อ.ดร. ธัญญลักษณ์ วีระสมบัติจากคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอโครงการวิจัยหัวข้อ “ช่องว่างงานวิจัยด้านการพัฒนาแรงงานในประเทศไทย” โดยมุ่งสำรวจสาระของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะแรงงานไทยในอุตสาหกรรมภาคผลิตซึ่งมีผลอย่างยิ่งต่อขีดความสามรถในการแข่งขันของประเทศในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแรกเริ่มงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมและศึกษาวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและเพื่อค้นหาประเด็นศึกษาวิจัยเพิ่มเติม
หลังการนำเสนอผู้ทรงคุณวุฒิอาทิดร.สราวุธไพฑูรย์พงษ์จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI)และผู้แทนจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเห็นว่าจะเป็นประโยชน์มากขึ้นหากนำช่องว่างงานวิจัยที่พบมาตั้งเป็นประเด็นสอบถามผู้ว่าจ้างแรงงานว่าทักษะที่แรงงานมีสอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการหรือไม่อย่างไรโดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลแบบfocus groupบุคคลฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งในแง่ผู้ผลิตและผู้ใช้แรงงานโดยวิเคราะห์เป็นรายอุตสาหกรรม
จึงนำไปสู่การปรับหัวข้อวิจัยเป็น“การพัฒนาทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตไทย: ช่องว่างงานวิจัยการนำไปสู่ภาคปฏิบัติและทักษะที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์”ซึ่งนอกจากจะรวบรวมวิเคราะห์สังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและค้นหาประเด็นที่ควรศึกษาวิจัยเพิ่มเติมแล้วยังจะวิเคราะห์ถึงช่องว่างของการวิจัยกับการนำปฏิบัติโดยมุ่งไปสู่การให้ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมเหล่านั้นด้วย
อ.ดร. เนตรนภา ไวทย์เลิศศักดิ์คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์นำเสนอโครงการวิจัย“ปัญหา อุปสรรค และแนวทางการลงทุนในอาเซียนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SME) ไทย – เปรียบเทียบอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปและร้านอาหารไทย”โดยมุ่งศึกษาการบริหารจัดการด้านต่างๆ ของSME ในธุรกิจอาหารแปรรูปและร้านอาหารไทยที่ไปลงทุนในอาเซียน เช่น ด้านการผลิต การลงทุน การตลาด การเงิน และการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพื่อค้นหาปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งตัวอย่างการบริหารที่เป็น best practice
หลังการนำเสนอ ได้รับความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศรองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งได้เสนอแนะว่า ควรเลือกสำรวจประเทศแยกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มประเทศอาเซียนที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจในระดับสูงแล้ว กับกลุ่มประเทศอาเซียนที่ยังด้อยพัฒนา น่าจะมีอุปสรรคในการลงทุนที่แตกต่างกัน และควรศึกษากรณีที่ลงทุนแล้วไม่ประสบความสำเร็จด้วย ที่สำคัญการลงทุนของร้านอาหารไทยดูจะโดดเด่น เพราะนอกจากจะใช้วัตถุดิบที่นำเข้าจากประเทศไทยแล้ว ยังเป็นการประชาสัมพันธ์ให้คนต่างชาติรู้จักวัฒนธรรมไทย ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจโดยรวม ส่งผลดีต่อเนื่องไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว ดังนั้นงานวิจัยจึงควรเน้นเรื่องร้านอาหารไทยมากกว่า จึงนำไปสู่การปรับหัวข้อวิจัยเป็น “ปัญหา อุปสรรค และแนวทางการลงทุนในอาเซียนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย – เปรียบเทียบร้านอาหารไทยและอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป”นอกจากนี้ยังวิเคราะห์สาเหตุของการออกไปลงทุนในต่างประเทศ (critical point)และปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การรุกเข้าตลาดประสบความสำเร็จ (entry point) โดยมุ่งไปสู่การให้ข้อเสนอแนะต่อการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศแก่SME ของไทย