การประชุม ASEAN Forum ครั้งที่ 6
“รายงานความก้าวหน้างานวิจัยในประเด็นแรงงานและอาเซียน”
วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2556 เวลา 09.00 – 12.00 น.
ห้องประชุม 1 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ชั้น 14 อาคาร SM Tower
ตามที่สกว. ได้อนุมัติโครงการวิจัยในประเด็นแรงงานซึ่งได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เพื่อติดตามความก้าวหน้าของการวิจัย โครงการ “จับตาอาเซียน” (ASEAN Watch) จึงจัดการประชุม ASEAN Forum ครั้งที่ 6 ขึ้นภายใต้หัวข้อ “รายงานความก้าวหน้างานวิจัยในประเด็นแรงงานและอาเซียน” โดยนักวิจัยได้มารายงานความก้าวหน้าของโครงการวิจัยและการแสดงความคิดเห็นและทรรศนะจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เกี่ยวข้องเพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินการวิจัยต่อไป
ดร.ธัญญลักษณ์ วีระสมบัติ จากคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอความก้าวหน้าโครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตไทย: ช่องว่างงานวิจัย การนำไปสู่ภาคปฏิบัติ และทักษะที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์” ในครั้งนี้เป็นรายงานการวิจัยระยะที่ 1 (จากทั้งหมด 3 ระยะ) รวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตตั้งแต่ปี 2535 – ปัจจุบัน ข้อค้นพบที่สำคัญคือ งานวิจัยที่มีอยู่ได้ระบุถึงปัญหาทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิต ความพร้อมของทักษะฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิต การขาดแคลนปริมาณแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิต บทบาทรัฐในการพัฒนาฝีมือแรงงาน ความร่วมมือจากภาคเอกชนในการพัฒนาฝีมือแรงงาน ความต้องการของตัวแรงงานในการพัฒนาทักษะฝีมือของตนเอง ลักษณะและนิสัยแรงงานที่นายจ้างพึงประสงค์ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลการจัดฝึกอบรมโดยรัฐ ปัญหาการจัดฝึกอบรมโดยภาครัฐ ความพึงพอใจของสถานประกอบการต่อคุณภาพแรงงาน อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่ค้นพบยังไม่ครอบคลุมบางอุตสาหกรรมที่อยู่ในแผนแม่บทพัฒนาอุตสาหกรรมไทยปี 2555 – 2574 อาทิ อุตสาหกรรมยาง และอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน/ทดแทน นอกจากนั้นข้อมูลจากงานวิจัยที่มีอยู่ยังมีความทับซ้อน ไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่อุตสาหกรรม และให้ข้อมูลเชิงกว้างมากกว่าเชิงลึก ผู้วิจัยเสนอว่างานวิจัยในอนาคตควรมีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ เน้นการศึกษาเชิงลึก การศึกษาความคาดหวังและความพึงพอใจต่อทักษะแรงงานควรจัดทำแยกตามรายอุตสาหกรรมเพื่อชัดเจน และควรให้ความสำคัญกับ “นิสัยอุตสาหกรรม” ของแต่ละรายอุตสาหกรรมด้วย
หลังจากนำเสนอ ผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ ดร.สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ นักวิชาการอาวุโส จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และผู้ทรงคุณวุฒิท่านอื่นๆ จากสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานและสถาบันยานยนต์ได้แนะนำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตพร้อมทั้งได้ให้ข้อเสนอว่าอาจไม่จำเป็นต้องเน้นการนำงานวิจัยตั้งแต่ปี 2535 มาเปรียบเทียบกับแผนแม่บทการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยระยะ พ.ศ. 2555 – 2574 นอกจากนี้ควรเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อขยายผลต่อยอดงานวิจัยที่ทำไว้รวมทั้งเสนอให้เพิ่มข้อมูลบางส่วน เช่น พระราชบัญญัติส่งเสริมอาชีพ พ.ศ. 2537 เพื่อเชื่อมโยงถึงที่มาเกี่ยวกับบทบาทของรัฐในการพัฒนาทักษะแรงงานและแนะนำให้เพิ่มข้อมูลปัจจุบันที่สำคัญเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์
ผศ.ดร.กมลพร สอนศรี จากคณะสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนอรายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยเรื่อง “การศึกษาการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือของประเทศฟิลิปปินส์” โดยในการวิจัยระยะแรกนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลของนโยบายและกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแรงงานของฟิลิปปินส์โดยเฉพาะการส่งออกแรงงานไปยังต่างประเทศ รวมถึงนโยบายและกฎระเบียบของฝ่ายไทยในแง่ของการรับเข้าแรงงานจากต่างประเทศ นอกจากนี้ยังได้สัมภาษณ์หน่วยราชการ และผู้ประกอบการไทยที่ที่มีแรงงานฟิลิปปินส์ทำงานอยู่ทั้งนี้ได้กำหนดกรอบการรวบรวมข้อมูลแรงงานฝีมือ เนื่องจากแรงงานฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายมากที่สุดในไทยนั้นแทบทั้งหมดเป็นแรงงานฝีมือ ซึ่งมีอยู่ 3 ประเภท คือ ครู-อาจารย์ ผู้จัดการ-ผู้ประสานงาน และวิศวกร
ผลการศึกษาพบว่า ฟิลิปปินส์มีนโยบายที่ส่งเสริมและการขยายตลาดแรงงานออกไปยังต่างประเทศโดยมีหน่วยงานส่งเสริมอำนวยความสะดวกในการออกไปทำงานต่างประเทศ POEA OWA นอกจากนี้ในหมู่แรงงานฝีมือฟิลิปปินส์เองก็มีค่านิยมในการออกไปทำงานนอกประเทศ เนื่องจากอัตราการแข่งขันสำหรับผู้จบการศึกษาระดับปริญญาในประเทศแข่งสูงมาก โดยประเทศหลักที่แรงงานฝีมือฟิลิปปินส์นิยมเดินทางออกไปทำงานได้แก่สหรัฐและตะวันออกกลาง
สำหรับในกรณีประเทศไทยพบว่า ความคล้ายคลึงกันทางวัฒนธรรมเป็นปัจจัยหลักสำหรับฟิลิปปินส์ที่เลือกเข้ามาทำงานในประเทศไทย ทั้งนี้มักเข้ามาโดยผ่านเครือข่ายที่มีอยู่ก่อนแล้ว เช่น ครอบครัว เพื่อนฝูง คนรู้จัก เป็นต้น อย่างไรก็ดี ปัญหาที่แรงงานฝีมือฟิลิปปินส์พบเมื่อเข้ามาทำงานในไทย ได้แก่ ปัญหาเรื่องใบประกอบวิชาชีพ โดยเฉพาะในกลุ่มครู-อาจารย์ และได้รับใบอนุญาตให้เข้ามาทำงานในระยะสั้นเพียงไม่เกิน 2 ปี สำหรับกรณีของวิศวกรก็เช่นเดียวกันที่ไม่ได้รับใบประกอบวิชาชีพ ยิ่งไปกว่านั้นวิศวกรชาวฟิลิปปินส์ที่เข้ามาในไทยก็ยังถูกท้าทายจากวิศวกรไทยมากขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันวิศวกรไทยมีความสามารถทางภาษาอังกฤษดีขึ้น ส่วนในกรณีของผู้จัดการ-ผู้ประสานงาน ก็พบว่าเมื่อเข้ามาในไทยแล้วพบว่าได้ทำงานที่ไม่ค่อยตรงกับความต้องการมากนัก
จากนั้นผู้ทรงคุณวุฒิได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ควรจะมีการการศึกษากฎระเบียบของสภาวิชาชีพในประเทศฟิลิปปินส์ การวิเคราะห์ในประเด็นผูกพันกับ AEC ว่าไทยได้ประโยชน์อย่างไรต่อการเข้ามาของแรงงานฝีมือชาวฟิลิปปินส์ ทั้งยังแนะนำให้จำกัดขอบเขตของปัจจัยดึงดูดและผลักดันที่แรงงานฟิลิปปินส์เข้ามาทำงานในไทย ในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูลควรจะเน้นวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ควรต้องเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนสัดส่วนแนวโน้มและโครงสร้างต่างๆ ของแรงงานต่างด้าวทั้งในภาพรวมและของประเทศไทยเพื่อนำมาใช้ประกอบการวิเคราะห์ในอนาคต
ผศ.ดร.กิริยา กุลกลการ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้นำเสนอรายงานความก้าวหน้างานวิจัยเรื่อง “การศึกษาเชิงเปรียบเทียบการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยกับต่างประเทศ” ซึ่งครอบคลุมเนื้อหาการเปรียบเทียบ 7 ประเทศด้วยกันคือ ไทย สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และบรูไน โดยในการวิจัยในระยะแรกนี้จะเป็นขั้นตอนของการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลว่าด้วยนโยบายและมาตรการต่างๆ ของแต่ละประเทศในการบริหารจัดการแรงงานต่างชาติ โดยพบว่า แต่ละประเทศต่างมีนโยบายเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติ โดยในมาตรการการบริหารแรงงานข้ามชาติได้มีการจัดระบบการแบ่งงานตามทักษะฝีมือ เช่น ไต้หวัน มาเลเซีย ในขณะที่สิงคโปร์ เกาหลีใต้ บรูไนและสหรัฐเป็นประเทศที่คุมเข้มเรื่องแรงงานข้ามชาติอย่างมาก สิงคโปร์มีนโยบายเลิกจ้างแรงงานต่างชาติ เก็บภาษีการใช้แรงงานต่างชาติ อีกทั้งต้องมีใบอนุญาตรวมทั้งกำหนดอายุแรงงาน บรูไนมีแผนการจ้างแรงงานต่างชาติไว้ไม่เกินจำนวน 1 ใน 3 ของกำลังแรงงานทั้งหมด เพื่อเปิดโอกาสให้คนท้องถิ่นที่ว่างงานกว่า 10,000 คน มีงานทำ ส่วนเกาหลีใต้ก็มีจุดเด่นในนโยบายจัดการแรงงานข้ามชาติที่เป็นจัดการแบบรัฐต่อรัฐมีการฝึกอบรมแรงงาน และมีระบบคุ้มครองแรงงานอย่างดี ในขณะที่สหรัฐมีนโยบาย Guest worker program เพื่อนำเข้าแรงงานไร้ฝีมือมาทำงานในสหรัฐ ชั่วคราวหรือตามฤดูกาล คุมเข้มการนำเข้าแรงงานโดยกำหนดจำนวน Visa ต่อปีอีกทั้งยังถูกจำกัดให้ทำงานได้ที่เดียวเป็นระยะเวลาหนึ่งปี
สำหรับประเทศไทย พบว่า การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติของไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2535-2555 สามารถแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. การขึ้นทะเบียนเพื่อผ่อนผันให้แรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายอยู่ในประเทศไทยได้ชั่วคราว 2. การปรับสถานะแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียนให้เป็นผู้เข้าเมืองถูกต้องตามกฎหมาย 3. การนำเข้าแรงงานข้ามชาติอย่างถูกกฎหมายจากประเทศต้นทาง แต่ในปัจจุบันไทยยังไม่ได้มีความพยายามลดการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ นโยบายมีลักษณะระยะสั้น และไม่ยืดหยุ่น การปฏิบัติงานขาดบูรณาการระหว่างหน่วยงานยังไม่มีประสิทธิภาพทั้งด้านข้อมูล การจัดการปัญหาและไม่มีนโยบายเรื่องการตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยของแรงงานต่างชาติ
หลังจากนั้นผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ รศ.ดร.สุรีย์พร พันพึ่ง ผู้อำนวยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล คุณสิงหเดช ชูอำนาจ จาก กระทรวงแรงงานและท่านอื่นๆ ได้แสดงความคิดเห็นสรุปได้เป็น 3 ประเด็น คือ ประเด็นแรก บทเรียนที่ได้จากการอ่านงานวิจัยในด้านของนโยบายการย้ายถิ่น โดยการย้ายถิ่นมีผลกระทบต่อประเทศต้นทางขณะที่การควบคุมแรงงานต่างชาติก็มีความเกี่ยวข้องกับนโยบายการย้ายถิ่นของแรงงาน ในขณะเดียวกันประเด็นการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนก็จะต้องคำนึงถึงเกี่ยวกับการย้ายถิ่นด้วย
ประเด็นที่สอง การปรับปรุงงานวิจัยควรจะมีการพิจารณาถึงตัวเลขแรงงานข้ามชาติที่แท้จริง ต้องมี การศึกษาให้ลึกซึ้งมากขึ้นในประเด็นการให้ความเป็นพลเมืองกับต่างชาติของไทย การใช้ข้อมูลควรให้ความสำคัญกับแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ ในขณะที่การจัดกลุ่มประเทศต้องการแรงงานอาจจัดได้เป็น 3 กลุ่มตามระดับความต้องการแรงงาน การวิเคราะห์ตีความควรจะเพิ่มเติมในส่วนประเด็นสาเหตุการย้ายถิ่น สถานภาพทางกฎหมายผู้ย้ายถิ่น ความต้องการแรงงานและการบริหารจัดการแรงงาน
ประเด็นสุดท้าย โจทย์วิจัยในอนาคตที่เป็นการพิจารณาปัญหาแรงงานในประเทศไทยที่มาจากการที่อุปสงค์และอุปทานแรงงานที่ไม่ตรงกันและควรมีการศึกษาบทเรียนจากประเทศอื่นๆ ในเรื่องของอุปสงค์อุปทานแรงงาน รวมถึงนโยบายด้านแรงงานของทั้งประเทศต้นทางและปลายทาง