เมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา โครงการ “จับตาอาเซียน” สกว. ได้จัดงานสัมมนา TRF-ASEAN Public Forum ครั้งที่ 2 เปิดตัวหนังสือ “อาเซียนสู่การเป็นประชาคม: ความเคลื่อนไหวด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม” ณ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อเป็นการแนะนำและนำเสนอสาระความรู้จากหนังสือ พร้อมทั้งมีการอภิปรายของผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญถึงความเคลื่อนไหว ความพร้อมและแนวโน้มความท้าทายในประเด็นที่สำคัญต่างๆ เพื่อเผยแพร่ข่าวสารองค์ความรู้ล่าสุดต่อสาธารณชน อันจะสามารถนำไปสู่การปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค
งานสัมมนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากร 3 ท่าน ได้แก่ ดร.สุวิทย์ มังคละ นักการทูตชำนาญการ กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ ผศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ อ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ดร.สุวิทย์ มังคละ นักการทูตชำนาญการ กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การเข้าใจประชาคมอาเซียนจำเป็นต้องทราบที่มาที่ไปและพัฒนาการของการรวมกลุ่ม และยังคงมีความเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งโดยจะมีกฎบัตรตามมาอีก 3 เสา อย่างไรก็ตามอาเซียนเป็นเรื่องของประเทศสมาชิกอาเซียน จึงต้องทราบความเคลื่อนไหวของแต่ละชาติด้วย การประชุมระดับรัฐมนตรีมีการกำหนดกลไกการหารือและประเมินความพร้อมของแต่ละเสา โดยเสาการเมืองขณะนี้มีความพร้อมร้อยละ 88 สาระสำคัญที่หารือกัน ได้แก่ สถาปัตยกรรมภูมิภาค ความตกลงการค้าเสรีกับอาเซียน+6 ซึ่งจะเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก อาเซียนต้องการบทบาทการเป็นแกนกลางว่าต้องการสิ่งใดและผงาดในเวทีระดับประเทศในฐานะผู้ขับเคลื่อน รวมถึงกรณีพิพาททะเลจีนใต้ การย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติโดยจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้อพยพ อาทิ โรฮิงญา และสนับสนุนแนวคิดสายกลาง
ทั้งนี้ประเทศไทยมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโดยกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมเพื่อให้ไทยขับเคลื่อนตามกฎบัตรอาเซียน โดยมีวาระเร่งด่วน คือ ความมั่นคงชายแดน ความมั่นคงทางทะเล อาชญากรรมข้ามชาติ การสร้างความเชื่อใจและการป้องกัน และการเสริมสร้างศักยภาพในการปฏิบัติการทางทหารร่วมกัน ขยายความร่วมมือไปสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยให้สำนักเลขาธิการอาเซียนมีความเข้มแข็งมากขึ้น
ขณะที่ ผศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าเสาเศรษฐกิจดูเหมือนจะไปไกลที่สุดประมาณร้อยละ 95 แต่มีความย้อนแย้งเพราะไม่สามารถบอกได้ว่าแต่ละเสาทำได้ดีเพียงใด เพียงพอและใช้สิทธิประโยชน์ บังคับใช้ได้จริงมากน้อยเพียงใด ความก้าวหน้าในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้จึงต้องพูดถึงเรื่องความย้อนแย้งใน 4 ประเด็น คือ 1. สถาปัตยกรรมการรวมกลุ่ม/การบูรณาการภูมิภาค รวมนโยบายของแต่ละประเทศที่เกี่ยวข้องกับภายนอกเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของภูมิภาค แต่ยังกลัวเรื่องสละอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศ 2. หัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างกฎบัตรเดิมและกฎบัตรใหม่ ปัญหาคือยังไม่เคยใช้สิทธิประโยชน์ เช่น ภาษีการค้า เพราะไม่ได้เป็นอัตโนมัติแต่ต้องพิสูจน์ว่าเป็นสินค้าที่ผลิตในอาเซียนและกรอกข้อมูลในเอกสารจำนวนมาก ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดเผยทางการค้า หรือการเคลื่อนย้ายแรงงานยังมีระเบียบปฏิบัติที่ส่งผลต่อการบังคับใช้ 3. มหาอำนาจในโลกมีให้เห็นชัดเจนสองทาง คือ จีนและอเมริกา คำถามคือไทยเป็นจุดศูนย์กลางจริงหรือไม่และจะเชื่อใครที่จะไม่ต้องถูกบีบบังคับ 4. การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการบูรณาการขณะที่ยังมีการปกป้องตัวเอง เช่น ขาดแคลนแรงงานวัยฉกรรจ์เนื่องจากโครงการประชากรยังถูกปิดกั้น ถ้าเปิดโอกาสจะทำให้ภาคการผลิตแข็งแรงมากขึ้น
ด้าน อ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หนังสือให้มุมมองที่ลึกและหลากหลาย มีประเด็นที่น่าสนใจจำนวนมาก เช่น พหุสังคม อำนาจรัฐ มรดกอาณานิคม ภัยพิบัติ โรคระบาด ฯลฯ ซึ่งสามารถเปิดโลกให้กับผู้อ่านได้เป็นอย่างดี ในการเตรียมความพร้อมของเสาสังคมจะต้องมีความใจกว้างและสร้างสรรค์ มีปฏิสัมพันธ์กันให้มากขึ้นเพราะอาเซียนเป็นเรื่องของโอกาส จึงต้องเปิดปริมณฑลการรับรู้ให้กว้างขวางมากขึ้น จับตาอาเซียนในลักษณะที่ทำให้เรารู้จักตัวเองและคนอื่นมากขึ้น อยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในสังคมระหว่างประเทศ
ขอบคุณสรุปเนื้อหาการสัมมนาจาก trf.or.th