Southeast Asia’s War on Drugs Is a Grotesque Failure, but Why Stop?*
(สงครามยาเสพติดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นความล้มเหลวที่ยิ่งลุกลาม แต่จะหยุดกระนั้นหรือ?)
Samuel Oakford
แปลและเรียบเรียงโดย
ภาคิน นิมมานนรวงศ์
ข่าวคราวความสำเร็จในการควบคุมและปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดด้วยกฎหมายในสหรัฐอเมริกาและอุรุกวัย อาจทำให้เราหลงลืมไปได้ง่าย ๆ ว่า สงครามต่อต้านยาเสพติดยังคงดำเนินอยู่ในหลายพื้นที่ในโลก และไม่มีที่ใดที่สงครามครั้งนี้จะฝังรากลึกได้เท่ากับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในปี 2541 ขณะที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้จัดประชุมวาระพิเศษพร้อมประกาศว่า “โลกที่ปลอดยาเสพติด” นั้นเป็นไปได้จริง อาเซียนได้ทำสิ่งเหลือเชื่อกว่าด้วยการประกาศเป้าหมายในการทำให้ทั้งภูมิภาค “ปลอดยาเสพติด” ภายในปี 2558
ทว่าเพียงไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากนั้น ผลลัพธ์ที่อาเซียนได้กลับเป็นในทางตรงกันข้าม อัตราการปลูกฝิ่นในสามเหลี่ยมทองคำ ดินแดนซึ่งขึ้นชื่อเรื่องสิ่งผิดกฎหมายบริเวณรอยต่อของลาว เมียนมาร์ และไทย ที่เริ่มลดลงในกลางทศวรรษ 2540 กลับเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัวในรอบสิบปีหลังสุด และคิดเป็นร้อยละ 30 ของการปลูกฝิ่นทั่วโลกในปัจจุบัน
พื้นที่การปลูกฝิ่นในเมียนมาร์ ประเทศผู้ปลูกฝิ่นรายใหญ่อันดับสองของโลก ขยายตัวขึ้นสามเท่านับแต่ปี 2549 เป็นต้นมา ผู้คนตามเมืองต่าง ๆ เสพเฮโรอีนกันอย่างเปิดเผยและบางครั้งก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาร่วมวงอยู่ด้วย ทั้งที่เมื่อสิบปีก่อน เมืองบางเมืองแทบจะไม่เหลือพื้นที่สำหรับปลูกฝิ่นอยู่แล้ว แต่เนื่องจากหนทางในการหาเลี้ยงชีพที่มีอยู่จำกัด ผู้คนจึงแทบไม่เหลือทางเลือกใดนอกเสียจากหันกลับมาปลูกฝิ่นอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน ยาเสพติดประเภทเมทแอมเฟตามีน และ “วัตถุที่มีส่วนผสมของแอมเฟตามีน” อื่น ๆ ต่างแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งขนส่งยาเสพติด ปัจจุบันได้กลายเป็นที่ตั้งของห้องแล็บและเป็นตลาดค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ นับตั้งแต่ปี 2551 จำนวนการจับกุมผู้ค้าและผู้เสพยาเสพติดในเอเชียตะวันออก ตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย และแปซิฟิก เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าตัว
ยาเสพติดประเภทเมทแอมเฟตามีนที่ผลิตในห้องแล็บในสามเหลี่ยมทองคำและในรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ ส่งต่อไปทั่วทั้งภูมิภาคในรูปของ “ยาบ้า” อัดเม็ดผสมคาเฟอีนและมีสีสันสดใส ผู้เสพติดยาราคาถูกนี้มีตั้งแต่เด็ก โสเภณี แรงงานชนชั้นกลาง ไปจนถึงคนขับรถบัส ตามรายงานของสหประชาชาติพบว่า คนไทยที่เข้าบำบัดอาการติดยาเสพติดในปี 2555 ร้อยละ 80 เป็นผู้เสพยาประเภทเมทแอมเฟตามีน
ผู้ค้ายาท้องถิ่นที่เข้าไปพัวพันกับการค้ายาประเภทเมทแอมเฟตามีนได้สร้างสายสัมพันธ์กับพ่อค้ายาเสพติดที่อยู่ต่างทวีปอย่างเช่นในไนจีเรีย ระหว่างปี 2552-2556 ชาวต่างชาติเกินครึ่งหนึ่งที่ถูกจับกุมในสนามบินนานาชาติกรุงลากอสในข้อหาลักลอบค้ายาที่มีส่วนผสมของแอมเฟตามีนเป็นชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มาร์ติน เยลส์มา ผู้ประสานงานโครงการยาเสพติดและประชาธิปไตยของ Transnational Institute (TI) และผู้เขียนรายงานเรื่อง “Relapse in the Golden Triangle” ให้ความเห็นว่า “เส้นตายของการสร้างภูมิภาคที่ปลอดยาเสพติดเป็นเรื่องไร้สาระ” และ “การเชื่อว่าคุณสามารถขจัดการค้ายาเสพติดให้หมดไปได้จริงเป็นเพียงภาพลวงตา ในเมื่อความจริงคือขนาดของตลาดการค้ายาเสพติดไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย”
เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ผู้นำสิบชาติอาเซียนได้หารือกันในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนว่าด้วยยาเสพติด ครั้งที่ 35 ณ กรุงมะนิลา ทว่าแทบไม่มีการถกเถียงกันเกี่ยวกับประเด็นนี้แต่อย่างใด
กลอเรีย ไล ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียจากสถาบัน International Drug Policy Consortium ซึ่งเข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ด้วย ให้ความเห็นว่า “ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปนโยบายหรือกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นเรื่องต้องห้าม ขณะที่กระบวนการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับยาเสพติดในอาเซียนเองก็ไม่ค่อยเปิดพื้นที่ให้กับการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและทัศนะเกี่ยวกับยาเสพติดในแง่มุมอื่น ๆ เลย” นอกจากนี้ “หลายคนดูเหมือนจะเห็นด้วยกับนโยบายและการรณรงค์เพื่อควบคุมการระบาดของยาเสพติด โดยไม่ค่อยเห็นใจผู้ที่ค้าหรือเสพยาเสพติดเท่าใดนัก”
นโยบายเกี่ยวกับยาเสพติดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนมากแล้วเป็นมรดกจากยุคอาณานิคม กฎหมายภาษีของเมียนมาร์ฉบับปี 2448 ระบุห้ามไม่ให้ใครก็ตามใช้หรือพกพาเข็มฉีดยาโดยไม่มีใบอนุญาต โดยผู้ที่ฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับเป็นเงินรูปี ซึ่งเป็นค่าเงินที่เมียนมาร์เลิกใช้มาแล้วกว่า 60 ปี
หลังสิ้นยุคอาณานิคม โลกหันมาประกาศให้กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเป็นอาชญากรรม ภายใต้การนำของสหรัฐ รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ พบช่องทางในการควบคุมประชากรของตนด้วยการทำสงครามต่อต้านยาเสพติด โดยที่กลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กำหนดบทลงโทษไว้รุนแรงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ผู้กระทำผิดที่แม้จะไม่ได้ก่อความรุนแรงใด ๆ มักถูกลงโทษประหารชีวิต เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เวียดนามเพิ่งสั่งประหารชีวิตผู้ลักลอบขนเฮโรอีนถึง 30 คน ขณะที่เมื่อสี่ปีก่อน อินโดนีเซียได้เพิ่มโทษจำคุกขั้นต่ำสำหรับคดียาเสพติด ทำให้ทุกวันนี้ ในบาหลี การถูกจับกุมในข้อหามีสารเสพติดในครอบครองแค่ 0.05 กรัมอาจทำให้ต้องติดคุกสองถึงสามปี ขณะที่การครอบครองเฮโรอีนเกิน 5 กรัมขึ้นไปอาจถูกสั่งจำคุกตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม กฎหมายเหล่านี้ไม่อาจหยุดการค้ายาเสพติดได้ มิหนำซ้ำยังทำลายชีวิตของผู้ที่เสพยารายย่อยและผลักให้ผู้ติดยาเสพติดไปอยู่ในมุมมืดของสังคมจนไม่ได้รับการรักษาทางการแพทย์หรือการเยียวยาที่เหมาะสม หนึ่งในห้าของผู้เสพยาเสพติดในไทย เมียนมาร์ และกัมพูชาติดเชื้อเฮชไอวี ส่วนในอินโดนีเซีย ตัวเลขคิดเป็นร้อยละ 36 ของผู้เสพยาทั้งหมด
ในบรรดาชาติอาเซียนด้วยกันเอง ประเทศไทยซึ่งมีนักโทษอยู่กว่า 300,000 คน มากกว่านักโทษในฝรั่งเศส สเปน อาร์เจนติน่า อียิปต์ และออสเตรเลียรวมกัน เป็นประเทศที่ทำสงครามปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นที่สุด องค์กร Human Rights Watch ประเมินว่า เฉพาะในปี 2546 รัฐบาลไทยได้ใช้กระบวนการนอกกฎหมายตัดตอนผู้ที่อาจเกี่ยวข้องกับยาเสพติดไปกว่า 2,800 คน ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน บังคับใช้แรงงาน และทรมานผู้ที่เข้ารับการบำบัดอาการติดยาเสพติดในหลายประเทศ อาทิ เวียดนาม กัมพูชา และลาว
ถึงกระนั้น แม้จะมีรายงานถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการทำสงครามต่อต้านยาเสพติดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ซึ่งมีกำหนดจะทบทวนแผนการสร้างภูมิภาคปลอดยาเสพติดของอาเซียนในปลายปีนี้ ยังคงสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์ต่อไปจนถึงปี 2560 อันที่จริง UNODC ได้รับทุนสนับสนุนจากกลุ่มประเทศตะวันตกที่เป็นกังวลว่ายาเสพติดเหล่านี้จะตกถึงมือพลเมืองของพวกเขา โดยไม่ค่อยใยดีกับผลกระทบของสงครามต่อต้านยาเสพติดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผู้คนในประเทศที่ห่างไกล
กลอเรีย ไล ให้ความเห็นว่า “ผลกำไรมหาศาลจากการค้ายาเสพติดได้บ่อนทำลายกลไกการทำงานของรัฐบาลจากการคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐเอง” ไม่นานมานี้ รัฐบาลเมียนมาร์เพิ่งออกมายอมรับว่าพวกเขาไม่สามารถขจัดการปลูกฝิ่นให้หมดไปก่อนกำหนดการณ์เดิมในปี 2557 (พร้อมขอขยายเวลาไปอีกห้าปี) ขณะเดียวกัน บางคนประเมินว่า ปัจจุบัน เมียนมาร์คือแหล่งผลิตยาเสพติดประเภทเมทแอมเฟตามีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัญหาสำคัญเกิดจากนโยบายในการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลเมียนมาร์ที่เน้นไปที่การเผาทำลายไร่ฝิ่น แทนที่จะจัดการกับการสมรู้ร่วมคิดและเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ของเจ้าหน้าที่รัฐเอง
การเผาทำลายไร่ฝิ่นทำให้ชาวบ้านผู้ปลูกต้องย่ำอยู่กับความยากจนต่อไป ไลกล่าวว่า “ฝิ่นมีคุณประโยชน์ทางการแพทย์และทางวัฒนธรรม นอกจากนี้ ผู้ปลูกฝิ่นยังมักเป็นชาวนายากจนในพื้นที่ห่างไกลที่ต้องการตอบสนองความจำเป็นทางเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานของตนเอง” การขยายตัวของการปลูกฝิ่นจึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับการขาดแคลนทางเลือกในการเลี้ยงชีพของคนในชนบท
โมเดลการจัดการปัญหายาเสพติดที่น่าสนใจอยู่ในลาตินอเมริกา เมื่อรัฐบาลโบลิเวียสามารถลดการปลูกโคเคนได้ด้วยการทำให้โคเคนเป็นสิ่งถูกกฎหมายตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและอาศัยความร่วมมือกับสหภาพของเกษตรกรผู้ปลูกโคเคน จนทำให้พวกเขาได้รับรายได้ที่แน่นอนและมั่นใจว่าไร่นาของตนจะไม่ถูกเผาทำลาย
อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องรอดูพัฒนาการของนโยบายเกี่ยวกับยาเสพติดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป อย่างน้อยที่สุดในช่วงปลายปีที่จะถึงนี้ หลังจาก UNODC ได้ทบทวนแผนการสร้างภูมิภาคที่ปลอดยาเสพติดของอาเซียนเรียบร้อยแล้ว
*แปลและเรียบเรียงจาก Samuel Oakford. (2014). “Southeast Asia’s War on Drugs Is a Grotesque Failure, but Why Stop?”. VICE. Retrieved from https://news.vice.com/article/southeast-asias-war-on-drugs-is-a-grotesque-failure-but-why-stop