มองเศรษฐกิจฟิลิปปินส์เมื่อจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน*
โดย สรพงษ์ ลัดสวน
ผู้ช่วยผู้ประสานงานโครงการ “จับตาอาเซียน”
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกเมื่อ 5-6 ปีก่อนได้ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ แต่ฟิลิปปินส์สามารถรับมือได้ค่อนข้างดี จากการที่พึ่งพาการส่งออกน้อยเพียงประมาณร้อยละ 30 ของ GDP และมีการบริโภคภายในประเทศในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งฟิลิปปินส์ได้เป็นประเทศหนึ่งในอาเซียนที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงและรวดเร็วในรอบ 3 ปีที่ผ่านมานี้
ในปี 2556 เศรษฐกิจฟิลิปปินส์โตถึงร้อยละ 7.2 นับเป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน รองจากลาวที่เติบโตร้อยละ 8.3 เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ในรอบ 5 ปีขยายตัวเฉลี่ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี และสามารถรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับไม่สูงที่ร้อยละ 3.5-5.5 แม้ปีที่แล้วจะเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหวตอนกลางของประเทศขนาด 7.2 ริกเตอร์และซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนก็ตาม
ปัจจัยบวกอันสำคัญมาจากการเติบโตของภาคบริการรับจ้างบริหารธุรกิจ (Business Process Outsourcing : BPO) ซึ่งปีที่แล้วขยายตัวถึงร้อยละ 7 และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ธนาคารและบริษัทต่างชาติขนาดใหญ่ต่างเรียกใช้บริการนี้เพื่อลดต้นทุนเพราะชาวฟิลิปปินส์มีทักษะภาษาอังกฤษดี สิ่งที่ตามมาคือการขยายตัวของเมือง เพราะงาน BPO ต้องทำตลอด 24 ชั่วโมง ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ สถานบันเทิง ธุรกิจหอพักและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ จึงเติบโตตามมาด้วย
นอกจากนี้รายได้จากแรงงานชาวฟิลิปปินส์ที่ทำงานอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกยังเป็นปัจจัยหนุนช่วยระบบเศรษฐกิจของประเทศ และเมื่อมีปัญหาความสัมพันธ์กับประเทศที่มีแรงงานชาวฟิลิปปินส์ทำงานอยู่มากๆ เช่น ฮ่องกง รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้พยายามแก้ไขเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้ดีดังเดิมในรูปแบบการผ่อนปรนต่างๆ ตามข้อเรียกร้องประเทศปลายทางเพื่อลดผลกระทบต่อแรงงานฟิลิปปินส์จำนวนมาก
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นประกอบกับการมีเสถียรภาพทางการเมือง ไม่มีการชุมนุมขนาดใหญ่ต่อเนื่อง สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือและการลงทุน S&P จึงปรับระดับความน่าลงทุนของฟิลิปปินส์ขึ้นจาก BBB- เป็น BBB อีกทั้งดัชนีความสามารถในการแข่งขันของประเทศก็ปรับตัวดีขึ้น
เสถียรภาพของประเทศในอีกด้านหนึ่งมาจากกระบวนการสันติภาพของรัฐบาลกับแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (Moro Islamic Liberation Front : MILF) ซึ่งเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้บนเกาะมินดาเนา ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมลงนามข้อตกลงสันติภาพกันเมื่อวันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นจุดเริ่มต้นของการยุติการสู้รบและหันมาสู่การพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจบริเวณมินดาเนาหลังเจรจากันมานานกว่า 17 ปี
การมีสันติภาพเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายหลังความขัดแย้ง (Post-Conflict Economic Recovery) พื้นที่นี้มีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เพราะตั้งอยู่ในเขตภูเขาไฟทำให้มีแร่ธาตุจำนวนมาก การยุติความขัดแย้งช่วยให้สามารถนำเอาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญ คือต้องให้ชุมชนและรัฐบาลท้องถิ่นมีอิสระและส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนา ซึ่งต้องอาศัยการเจรจาต่อรองบนเส้นทางของสันติภาพ
การรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับสูง นับเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง รัฐบาลฟิลิปปินส์จึงได้เพิ่มงบประมาณพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 9 โครงการมูลค่า 1,400 ล้านดอลลาร์ (ราว 45,000 ล้านบาท) รัฐบาลได้ให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบของหุ้นส่วนภาครัฐ-เอกชน (Public-Private Partnership : PPP) เพื่อให้กระบวนการและขั้นตอนดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว โครงการที่อนุมัติมีทั้งการสร้างเขื่อนและท่อส่งน้ำ การพัฒนาระบบรถไฟและโครงการสร้างสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ทดแทนสนามบินนานาชาตินินอยอาคิโนที่คับแคบแออัดโดยพิจารณาพื้นที่ที่เคยเป็นฐานทัพเรือสหรัฐ บริเวณอ่าวคาวิตและลากูนา (Cavite and Laguna de Bay) ซึ่งมีพื้นที่กว้างกว่า 2,000 เอเคอร์ มีเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ได้ราว 10 ล้านคนภายในปี 2016 การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์อาเซียนในเชิงโครงสร้างกายภาพที่ชาติสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ก็เร่งดำเนินการเช่นกันโดยเฉพาะการเชื่อมโยงกัน (connectivity) ของภูมิภาคอาเซียน และด้วยทำเลที่ตั้งของฟิลิปปินส์เป็นหมู่เกาะ การพัฒนาระบบการขนส่งทางอากาศจึงจำเป็น
รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ดำเนินการปฏิรูปโครงสร้าง ระบบราชการ สถาบันและพยายามสร้างธรรมาภิบาล โดยเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและให้มีการเติบโตอย่างครอบคลุม (Inclusive Growth) ใช้การลงทุนเพื่อสร้างงาน ลดความยากจน พัฒนาระบบสวัสดิการทางสังคม มีการปรับปรุงกฎหมายด้านธนาคาร การลงทุนและศุลกากรเพื่อกระตุ้นการแข่งขันและส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
ในขณะเดียวกัน ปัญหาสำคัญของฟิลิปปินส์ที่สืบต่อมาแต่ยุคอาณานิคมคือ ลักษณะรวยกระจุกจนกระจาย ไม่มีการกระจายสินทรัพย์อย่างเป็นธรรม เศรษฐกิจชาติร้อยละ 76 ถูกควบคุมโดย 40 ตระกูลเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตไม่ครอบคลุมทุกกลุ่มคนในสังคมตามเป้าหมายของรัฐ การที่จะบรรลุการพัฒนาอย่างยั่งยืน จำต้องอาศัยการบริหารภาครัฐที่มีธรรมาภิบาล เสริมสร้างความเข้มงวดในการใช้กฎหมาย นอกจากนี้การเมืองแบบเสรีประชาธิปไตยและความเข้มแข็งของภาคประชาชนจะเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางการพัฒนา.
* บทความชิ้นนี้เผยแพร่ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม 2557