ในปัจจุบันการพัฒนาทางเทคโนโลยีทำให้สมาชิกในครอบครัวมีเวลาพูดคุยกันน้อยลงระหว่างมื้ออาหารเพราะพวกเขามัวแต่ให้ความสนใจกับจอโทรศัพท์มากกว่า
การรณรงค์จากแมคโดนัลด์เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนเลิกใช้โทรศัพท์ระหว่างมื้ออาหารเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด โดยแมคโดนัลด์ได้นำร่องเปิดตัวตู้เก็บโทรศัพท์ที่สาขาหนึ่งในสิงคโปร์ ความคิดริเริ่มใหม่นี้เป็นครั้งแรกที่ชาวสิงคโปร์ขนานนามว่า “Phone off, Fun on” และกระตุ้นให้ผู้คนเก็บโทรศัพท์ของพวกเขาและ เปิดล็อกช่วงเวลาแห่งความสนุกกับครอบครัวของเขา
จากผลสำรวจของแมคโดนัลด์จากผู้ปกครองจำนวน 302 ราย ที่มาใช้บริการแมคโดนัลด์ในช่วงเดือนที่ผ่านมาพบว่าร้อยละ 98 ของของพ่อแม่ และร้อยละ 91 ของเด็กๆ จะใช้โทรศัพท์ในเวลาที่อยู่ด้วยกัน โดยกว่าสองในสามของผู้ตอบแบบสอบถามใช้สมาร์ทโฟนในช่วงเวลาอาหาร ตามรายงานข่าวของ Channel News Asia ผู้ปกครองส่วนใหญ่ที่ตอบแบบสอบถาม ยังกล่าวด้วยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือลดการมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่คุณรัก และพวกเขาต้องการที่จะมีวินัยในการอยู่ห่างจากอุปกรณ์ดิจิตอลที่ดึงความสนใจของพวกเขาในช่วงเวลาที่อยู่ครอบครัว
ลินดา หมิงผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารแบรนด์และการดูแลลูกค้า กล่าวกับ Channel News Asia ว่า ในฐานะที่แมคโดนัลด์เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงสำหรับการพาครอบครัวมา แต่จากการสำรวจยังพบว่าการใช้โทรศัพท์ในระหว่างมื้ออาหารนั้นบางครั้งขัดขวางการสร้างสายสัมพันธ์ของครอบครัว และแม้ว่าจะเป็นความคิดริเริ่มตู้เก็บของอัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อเก็บโทรศัพท์มือถือ 100 ซึ่งอาจเป็นความทะเยอทะยานที่เกินไป
ทั้งนี้ลูกค้ารายหนึ่งบอกว่าครอบครัวของเขาพยายามจะล็อคโทรศัพท์มือถือของตนอย่างจริงจัง แต่ ก็ต้อง “ล้มเหลวภายในห้านาที” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ บริษัทอาหารฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่ระดับโลกได้ทดลองใช้แนวคิดนี้ แมคโดนัลด็ได้กระตุ้นให้เยาวชนเลิกใช้โทรศัพท์มือถือของตนครั้งแรกในอินเดียเมื่อปี 2015 โดยมีโฆษณาที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนหายหน้าหายตาไปในโลกแห่งความเป็นจริงเพราะติดอยู่กับไปยังหน้าจอโทรศัพท์ของพวกเขา
ที่มา news.com.au
หลังจากที่ปารากวัยได้ยกเลิกข้อกำหนดการขอวีซ่าในการเข้าประเทศสำหรับชาวสิงคโปร์ หนังสือเดินทางสิงคโปร์ก็ได้กลายเป็นหนังสือเดินทางที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก ด้วยคะแนนปลอดวีซ่า 159 คะแนน
นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศในเอเชียมีหนังสือเดินทางที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก ตามดัชนีซึ่งได้รับการพัฒนาโดย บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก Arton Capital นายฟิลิปป์ เมย์ผู้อำนวยการจัดการของ Arton Capital สาขาสิงคโปร์กล่าวว่า สิ่งนี้เป็นข้อพิสูจน์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการทูตและนโยบายด้านต่างประเทศที่มีประสิทธิภาพของสิงคโปร์”
ดัชนีจัดอันดับหนังสือเดินทางของประเทศต่าง ๆ มีการเรียงลำดับตามการข้ามพรมแดนโดยปลอดวีซ่า ขึ้นอยู่กับจำนวนประเทศที่หนังสือเดินทางของประเทศนั้น ๆ สามารถเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า หนังสือเดินทางของประเทศสมาชิก 193 แห่งซึ่งเป็นสมาชิกขององค์กรสหประชาชาติ และอยู่ใน 6 ภูมิภาคจะถูกนำมาพิจารณา โดยในอดีต 10 อันดับแรกของหนังสือเดินทางที่มีอิทธิพลที่สุดในโลกมีแนวโน้มที่จะเป็นประเทศในยุโรป โดยมีเยอรมนีเป็นผู้นำในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตามข่าวประชาสัมพันธ์ที่ออกเมื่อวันพุธที่ 25 ตุลาคม
ตั้งแต่ต้นปี 2017 ที่ผ่านมา เยอรมนีครองตำแหน่งที่ 1 ร่วมกับสิงคโปร์ ซึ่งกำลังเดินหน้าขึ้นอันดับหนึ่งจากการจัดอันดับ ในขณะที่หนังสือเดินทางเอเชียอื่น ๆ ที่ติดอยู่ใน 20 อันดับแรกนั้น ได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและมาเลเซีย โดยหนังสือเดินทางของสหรัฐอเมริกามีอันดับลดลงนับตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดี ล่าสุดตุรกีและสาธารณรัฐแอฟริกากลางเพิกถอนสถานะการขอวีซ่าให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางของสหรัฐฯ
นายอาร์มานด์ อาร์ตันผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท Arton Capital กล่าวว่า “การถือหนังสือเดินทางที่ปลอดวีซ่ากลายเป็นปัจจัยสำคัญในโลกปัจจุบัน มีคนจำนวนมากขึ้นทุกปีลงทุนหลายร้อย หลายพันดอลลาร์ในการครอบครองหนังสือเดินทางเล่มที่สอง เพื่อให้ได้โอกาสและความมั่นคงสำหรับครอบครัวของพวกเขา
ทั้งนี้สิงคโปร์ยังถูกจัดอยู่ในอันดับที่สี่ในดัชนีประเทศที่มีเงื่อนไขการขอวีซ่าที่เข้มงวด อีกหนึ่งวิธีการวัดว่าประชากรประเทศนั้นมีอิสระในการเดินทางมากน้อยแค่ไหน ด้วยวิธีการคำนวณคะแนนที่ต่างออกไปจากการคำนวณว่าหนังสือเดินทางของประเทศใดมีอิทธิพลมากกว่ากัน
10 อันดับหนังสือเดินทางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก (คะแนนอยู่ในวงเล็บ)
1. สิงคโปร์ (159)
2. เยอรมนี (158)
3. สวีเดนเกาหลีใต้ (157)
4. เดนมาร์ก ฟินแลนด์ อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน นอร์เวย์ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร (156)
5. ลักเซมเบิร์ก สวิสเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ออสเตรีย โปรตุเกส (155)
6. มาเลเซีย ไอร์แลนด์ แคนาดา สหรัฐอเมริกา (154)
7. ออสเตรเลีย กรีซ นิวซีแลนด์ (153)
8. มอลตา สาธารณรัฐเช็ก ไอซ์แลนด์ (152)
9. ฮังการี (150)
10. สโลเวเนีย โปแลนด์ ลิทัวเนีย ลัตเวีย (149)
ที่มา thestar.com