ดัชนีศูนย์การพัฒนาการขนส่งสินค้าทางเรือนานาชาติซินหัว-บอลติค จัดให้สิงคโปร์เป็นนครหลวงทางทะเลอันดับหนึ่งของโลกเป็นปีที่ 6 จากทั้งหมด 42 เมืองทั่วโลก โดยมีฮ่องกง และกรุงลอนดอน รั้งอันดับที่สอง และสามตามลำดับ ซึ่งดัชนีนี้เป็นการจัดอันดับตามสมรรถนะตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ ที่เป็นท่าเรือ และแหล่งบริการการขนส่งทางเรือ
ดัชนีดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักข่าวซินหัว กับองค์กร Baltic Exchange ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Singapore Exchange)
ปัจจัยในการจัดอันดับนี้ ได้แก่ ปริมาณการผ่านเข้าออกท่าเรือ การให้บริการสนับสนุนทางทะเลอย่างมืออาชีพ รวมถึงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2562 องค์กร Baltic Exchange เผยว่า “จากการประเมิน สิงคโปร์มีจุดแข็งในด้านการบริหารจัดการเรือ ในขณะที่ฮ่องกงได้รับประโยชน์จากข้อริเริ่มเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 (Belt and Road Initiative) ของจีน และโอกาสทางเศรษฐกิจจาก แผนการพัฒนาของกลุ่มเมืองใน Guangdong-Hong Kong-Macau Greater Bay
หลิว ซู หลิง (Lu Su Ling) ประธานองค์กร Baltic Exchange กล่าวว่าสิงคโปร์นั้นอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจทางทะเลทั้งในระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ
สามารถกล่าวได้ว่าสิงคโปร์นั้นเป็นหนึ่งในเมืองท่าที่คับคั่งมากที่สุดในโลก โดยตัวเลขจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ผ่านเข้าออกทั้งหมดอยู่ที่ 36.6 ล้านหน่วย และมีปริมาณเรือเข้าเทียบท่าทั้งหมดเกือบ 2.79 ล้านตันในปีที่แล้ว
ประธาน Baltic Exchange กล่าวต่ออีกว่า “อุตสาหกรรมทางทะเลจะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจสิงคโปร์ ดังนั้นการลงทุนและการคิดค้นนวัตกรรมต่าง ๆ จะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้อุตสาหกรรมนี้ประสบความสำเร็จในระยะยาว”
ทางด้าน ดร.ลาท พิน มิน (Lam Pin Min) รัฐมนตรีอาวุโสด้านคมนาคมกล่าวว่าการที่สิงคโปร์สามารถเป็นอันดับหนึ่งในด้านอุตสาหกรรมทางทะเลนี้เป็นผลมาจาก “ความมั่นใจในคุณภาพของการบริการโดยการท่าเรือสิงคโปร์ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่น่าดึงดูดต่อการทำธุรกิจซึ่งได้เอื้ออำนวยต่อการดำเนินการธุรกิจทางทะเลของประเทศ”
นอกจากนี้ นายคาว บูน วาน (Khaw Boon Wan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมยังได้แสดงความยินดีต่อภาคอุตสาหกรรมทางทะเลของสิงคโปร์ผ่านสถานะบนเฟสบุ๊คอีกด้วย โดยตนยังให้ความเห็นว่าการขนส่งทางเรือและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจะเป็นตัวชี้วัดอย่างดีที่จะแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจโลกของสิงคโปร์
ที่มา: straitstimes.com