งานสัมมนา “ปัญหาเขตแดนทางทะเล ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
จัดโดย โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.30-16.00 น.
ณ ห้อง 301 ชั้น 3 ตึกศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
เมื่อวันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดงานสัมมนา “ปัญหาเขตแดนทางทะเล ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ขึ้น เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาข้อพิพาทเขตแดนทางทะเลของทั้งสองภูมิภาคให้กับนักศึกษาของโครงการและผู้สนใจทั่วไป โดยงานสัมมนาครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากวิทยากร 5 ท่าน ได้แก่ อาจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ อาจารย์ประจำวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ผศ.ดร.กิตติ ประเสริฐสุข ผู้อำนวยการศูนย์เอเชียตะวันออกศึกษาและผู้ประสานงานโครงการ “จับตาอาเซียน” (ASEAN Watch) อาจารย์กวีพล สว่างแผ้ว อาจารย์ประจำคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา อาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอาจารย์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ประธานที่ปรึกษาโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีอาจารย์ ดร.มรกต เจวจิดา ไมเออร์ เป็นผู้ดำเนินรายการ
โดยวิทยากรท่านแรก คือ อาจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ เริ่มต้นด้วยการพูดภาพรวมของข้อพิพาทเขตแดนทางทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งสิ้นกว่า 30 กรณี พร้อมทั้งยกตัวอย่างกรณีศึกษา ทั้งจากข้อพิพาทที่ระงับแล้ว ยังไม่ระงับ และเสมือนระงับ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่าง (1) กัมพูชากับเวียดนามเกี่ยวกับดินแดนทางทะเลบนอ่าวไทย (2) มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เกี่ยวกับดินแดนบริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์ (3) บรูไนกับมาเลเซียเกี่ยวกับพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษที่ทับซ้อนกันเหนือแนวปะการังลุยซ่า (4) มาเลเซียกับสิงคโปร์เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณช่องแคบยะโฮร์ ฯลฯ
ขณะเดียวกัน อาจารย์อัครพงษ์ก็ได้กล่าวถึงข้อพิพาทที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ระหว่างมาเลเซียกับฟิลิปปินส์เกี่ยวกับการอ้างสิทธิเหนือดินแดนซาบาห์โดยทายาทสุลต่านซูลู โดยชี้ว่าความขัดแย้งนี้ค่อนข้างซับซ้อน กล่าวคือ ดินแดนซาบาห์ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การปกครองของมาเลเซียนั้น เป็นดินแดนห่างไกลจากการปกครองของมาเลเซีย ประชากรเกือบ 2 ล้านคนพูดภาษามินดาเนา มีวัฒนธรรมแบบชาวซูลูของฟิลิปปินส์ ทั้งยังตั้งอยู่ห่างจากซูลูเพียง 16 กิโลเมตร แต่เดิมเคยอยู่ใต้การปกครองของทั้งสุลต่านบรูไนและสุลต่านซูลู จนกระทั่งปี 1878 สุลต่านซูลูได้ทำสัญญา ‘padjak’ กับบริษัทบอร์เนียวเหนือแห่งอังกฤษ (British North Borneo Company) โดยยกดินแดนซาบาห์ให้บริษัทอังกฤษดูแล และเรียกเก็บค่าเช่ารายปีเป็นเงินราว 5,000 บาท ซึ่งอังกฤษก็ยังคงจ่ายให้ลูกหลานของกษัตริย์ซูลูมาจนปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1963 เมื่อรัฐมลายาพยายามสร้างประเทศ บริษัทของอังกฤษจึงให้ประชาชนบนซาบาห์เลือกว่าจะรวมอยู่กับมลายาหรือจะอยู่กับฟิลิปินส์ ซึ่งการทำประชามติครั้งนั้นปรากฎว่า ชาวซาบาห์เลือกจะอยู่กับมลายา ซึ่งก็คือประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน กระนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการอ้างสิทธิในดินแดนซาบาห์ก็เกิดขึ้น เนื่องจากการตีความสัญญา ‘padjak’ กับอังกฤษ กล่าวคือ สุลต่านซูลูยังอ้างสิทธิการปกครองเหนือซาบาห์ เนื่องจากสัญญาดังกล่าวระบุว่า เพียงให้อังกฤษเช่าดูแลเท่านั้น ขณะที่มาเลเซียก็โต้แย้งว่า ‘padjak’ หมายถึงการยกให้ไปเลย (cession) มากกว่า ยิ่งกว่านั้น ประชาชนในซาบาห์ก็เคยทำประชามติว่าจะอยู่กับมาเลเซียแล้วด้วย ข้อพิพาทดังกล่าวทำให้ทั้งสองประเทศพยายามเจรจากันหลายครั้ง ทว่าก็ไม่สำเร็จ จนนำไปสู่เหตุการณ์บุกยึดและอ้างสิทธิเหนือซาบาห์ของทายาทสุลต่านซูลู ตามด้วยการปราบปรามอย่างรุนแรงจากเจ้าหน้าที่มาเลเซีย จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน
ต่อมา อาจารย์กิตติ ประเสริฐสุข ได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับข้อพิพาทเขตแดนบริเวณเอเชียตะวันออก โดยชี้ว่า ความขัดแย้งเกี่ยวกับดินแดนเพิ่งปะทุขึ้นหลังสงครามเย็น พร้อมๆ กับการก่อตัวของอุดมการชาตินิยมในยุคโลกาภิวัตน์ และโครงสร้างอำนาจโลกที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ ในปี 1989 เหตุการณ์เทียนอันเหมิน ทำให้จีนตระหนักว่าอุดมการคอมมิวนิสต์ประสบปัญหา เจียงเจ๋อหมิน ผู้นำในขณะนั้นจึงได้สร้างอุดมการชาตินิยมจีน ผ่านการเขียนตำราเรียน สร้างอนุสาวรีย์ พิพิธภัณฑ์ รวมถึงการสร้างญี่ปุ่นให้เป็นศัตรูของชาติ ผ่านการตอกย้ำเหตุการณ์นองเลือดในนานกิง ถึงตรงนี้ ญี่ปุ่นจึงถูกบีบให้ย้อนกลับไปหาอุดมการชาตินิยมเพื่อสู้กับจีน หรือกล่าวอีกทางหนึ่งก็คือ ชาตินิยมญี่ปุ่นเป็นผลกระทบของชาตินิยมของจีนนั่นเอง
นอกจากนี้ เขายังได้กล่าวถึงความขัดแย้งทะเลจีนใต้เหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์ ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์การเดินเรือที่สำคัญ ทั้งยังเชื่อกันว่าอุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ มากมาย ระหว่างจีน ไต้หวัน และชาติอาเซียนอีก 4 ชาติ ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ เขาชี้ว่า ความขัดแย้งข้างต้นเคยนำไปสู่การปะทะกันเพียงสองครั้ง ขณะที่อาเซียนเองก็พยายามอย่างยิ่งที่จะแก้ไขข้อพิพาทดังกล่าว เริ่มด้วยการออกคำประกาศเกี่ยวกับทะเลจีนใต้ในปี 1992 ตามด้วยการจัดประชุมด้านความมั่นคงระดับภูมิภาค (ARF) ในปี 1994 เชิญจีนมาร่วมหารือและลงนามในคำประกาศเกี่ยวกับหลักปฏิบัติเหนือทะเลจีนใต้ (DoC) ในปี 2002 ล่าสุด เมื่อปีที่แล้ว ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมลงนามในคู่มือเกี่ยวกับหลักปฏิบัติ (Guideline on CoC) ทั้งนี้ อาเซียนก็คาดหวังว่าจะเปิดเจรจากับจีนเกี่ยวกับหลักปฏิบัติเหนือทะเลจีนใต้ (CoC) ซึ่งมีผลผูกพันทางกฎหมายให้ได้โดยเร็ว
ตอนท้าย อาจารย์กิตติได้ให้ความเห็นว่า บทบาทตัวกลางของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นมากหลังการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 21 ที่กัมพูชา ขณะเดียวกันไทยเองก็มีบทบาทสำคัญในฐานะตัวแทนของอาเซียนที่จะสานสัมพันธ์และไกล่เกลี่ยข้อพิพาทดังกล่าวกับจีน อย่างไรก็ดี เขาชี้ว่า การพิจารณาความขัดแย้งทะเลจีนใต้นี้ต้องให้ความสำคัญกับธรรมชาติของปัญหาและความสามารถในการแก้ปัญหา กล่าวคือ ข้อพิพาททะเลจีนใต้มีความซับซ้อนสูงมาก ฉะนั้น คำถามที่ว่า ใครจะมีความสามารถในการแก้ไขปัญหานี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
ต่อมา อาจารย์กวีพล อาจารย์พนัส และอาจารย์ชาญวิทย์ ได้ร่วมกันเสนอความเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้งเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเริ่มจากการอธิบายพัฒนาการของกฎหมายทะเลระหว่างประเทศที่สำคัญอย่างอนุสัญญาเจนีวา ปี 1958 และอนุสัญญาว่าด้วยกฎหมายทะเลปี 1982 จากนั้นจึงชี้ให้เห็นถึงสาเหตุของความขัดแย้งอันเนื่องมาจากพื้นที่ทับซ้อนตามหลักการกำหนดเขตแดนทางทะเลด้วยเกณฑ์ต่างๆ โดยตัวอย่างความขัดแย้งที่สำคัญในอาเซียน คือความขัดแย้งระหว่างไทยกับมาเลเซียเกี่ยวกับเขตแดนบริเวณทะเลอันดามัน ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวก็สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำของทั้งสองชาติและบรรยากาศทางการเมืองโลกที่ผ่อนคลายลง ทั้งนี้ อาจารย์กวีพลเน้นย้ำว่า การแก้ไขข้อพิพาทพรมแดนนั้นไม่สามารถใช้เพียงการตีความตามหลักฐานใดหลักฐานหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องอาศัยความรู้ด้านอื่นๆ อาทิ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ รัฐศาสตร์ มาช่วยด้วย
ต่อมา อาจารย์พนัสได้อธิบายถึงความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ในกรณีที่กัมพูชาลากเส้นเขตแดนทางทะเลจากหลักหมุดที่ 73 พาดผ่านเกาะกูด ตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่กัมพูชายึดเป็นหลักฐานต่อเนื่องจากกรณีที่ศาลโลกตีความว่าปราสาทเขาพระวิหารอยู่ใต้อธิปไตยของกัมพูชา โดยกัมพูชาอ้างอย่างไร้หลักเกณฑ์ใดๆ ว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชาและประกาศเขตแดนทางทะเลในปี 1972 ก่อนที่ไทยจะโต้แย้งตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี 1907 ที่ระบุให้เกาะกูดเป็นของไทย และประกาศเขตแดนของไทยในปี 1973 ทั้งนี้ เขาได้อ้างถึง MoU 2544 เกี่ยวกับการแบ่งพื้นที่เขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยชี้ว่า MoU ฉบับดังกล่าวถูกโจมตีว่าทำให้ไทยเสียเปรียบ เพราะเสมือนว่าไปยอมรับเส้นเขตแดนตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 กระนั้น บันทึกความเข้าใจดังกล่าวไม่ได้มีผลต่อการกำหนดเขตแดนทางทะเลในภายหลัง เป็นเพียงกระบวนการหนึ่งเพื่อนำไปสู่การแก้ไขความขัดแย้งตามกฎหมายทะเลระหว่างประทเศ มาตรา 83 วรรค 3 เท่านั้น
ในตอนท้าย อาจารย์ชาญวิทย์ได้อธิบายแง่มุมทางประวัติศาสตร์ของเขตแดนทางทะเล โดยชี้ว่า ความสำคัญของเส้นเขตแดนโดยทั่วไปในสยามเกิดขึ้นหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมในตะวันตก เมื่อเจ้าอาณานิคมแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจแบบใหม่ จากเดิมที่ต้องการแค่ท่าเรือ กลายเป็นการยึดดินแดน จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามเย็น เขตแดนทางทะเลจึงกลับมามีความสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกัน เขาก็ให้ความเห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับเขตแดนที่ เสียไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้ว นั้นเป็นความคิดที่ใหม่มาก เพราะในอดีต สยามเองยังเคยขายดินแดนของตัวเองเพื่อแลกกับสิ่งอื่น อาทิ การแลกดินแดนทางตอนใต้กับอังกฤษ ในสมัย รัชกาลที่ 5 เพื่อแลกกับอธิปไตยทางการศาลและเงินกู้เพื่อสร้างทางรถไฟ เป็นต้น
ภาพถ่ายจาก: PITV