งานสัมมนา “Preah Vihear and Phra Viharn: Pathways to A Shared Destiny”
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2556 เวลา 8.30-11.30 น.
ณ ห้องประชุมจุมภฏ-พันธ์ทิพย์ อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (ISIS) แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดงานสัมมนาสาธารณะภายใต้หัวข้อ “Preah Vihear and Phra Viharn: Pathways to A Shared Destiny” เพื่อนำเสนอข้อมูลความรู้และสร้างความเข้าใจ ทั้งในแง่มุมทางกฎหมาย ประวัติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ เกี่ยวกับข้อพิพาทเหนือปราสาทเขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชา
โดยในงานเสวนาครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากวิทยากร 4 ท่าน มาร่วมแสดงความคิดเห็น ได้แก่ ศ.วิทิต มันตาภรณ์ จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ฯพณฯ ลุตฟี โรฟ (H.E.Mr.Lutfi Rauf) เอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ประจำประเทศไทย
เริ่มด้วยประเด็นทางกฎหมาย ศ.วิทิต เล่าย้อนประวัติศาสตร์ของข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหารโดยสังเขป และชี้ให้เห็นว่ารากฐานของปัญหานี้อยู่ที่การเขียนประวัติศาสตร์ (Historiography) กระนั้น ข้อพิพาทนี้ก็มิได้เป็นปัญหาโดยตรงของทั้งสองประเทศ ทว่ามีลักษณะเป็นปัญหาของกลุ่มเฉพาะ (fraction) หรือกลุ่มทางการเมืองที่จะหยิบยกมาต่อสู้หรือโจมตีกันและกันมากกว่า พร้อมกันนี้ เขายังชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นไปด้วยดีมาโดยตลอด ถึงขนาดที่ว่าไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่ยอมรับสถานะความเป็นรัฐของกัมพูชาในทศวรรษที่ 1950s
เขาเสนอว่า เราควรย้อนกลับไปดูคำตัดสินของศาลโลกในปี 1962 ซึ่งเห็นชอบให้พื้นที่บริเวณปราสาทอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ด้วยหลักฐานทั้งจากสนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส และแผนที่ในสมัยอาณานิคม อย่างไรก็ดี เขาชี้คำพิพากษาของศาลโลก ณ ตอนนั้นยังมีความไม่ชัดเจนอยู่หลายประการ อาทิ การระบุว่า ตัวปราสาทตั้งอยู่ ใน (in) ดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา หรือการระบุให้ไทยต้องถอนทหารและเจ้าหน้าที่ออกจากตัวปราสาท หรือ (or) บริเวณใกล้เคียง (vicinity) บนอาณาเขตของกัมพูชา รวมทั้งยังชี้ให้เห็นบทบาทของศาลโลกที่พยายามเข้ามาแทรกแซงกรณีดังกล่าวด้วยการร่างแผนที่ชั่วคราว (provisional map) เพื่อใช้สำหรับจัดตั้งเขตปลอดทหาร (demilitarized zone) ระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งถูกคัดค้านว่าเป็นสิ่งที่เกินอำนาจของศาลจะทำได้ (exceeded the Court’s power) เป็นต้น
อาจารย์วิทิตจึงสรุปว่า ความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นและศาลโลกกำลังพิจารณาอยู่นั้น จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ ทว่าเป็นผลพวงของอดีต และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นผลสืบเนื่องจากคำตัดสินที่ไม่ชัดเจนเพียงพอของศาลโลกเอง ขณะเดียวกัน เขาก็ย้ำว่า สิ่งที่ทั้งสองประเทศควรปฏิบัติก็คือ ควรเตรียมความพร้อมประชาชนในประเทศให้รับรู้ว่าโอกาสของคำพิพากษาจะเป็นไปในทิศทางไหน และผลจะเป็นอย่างไร และเคารพคำตัดสินของศาล ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ทั้งสองประเทศควรใคร่ครวญถึงความร่วมมือในอนาคต ร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์ เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจระหว่างกันในบั้นปลาย
ด้าน รศ.ดร.สุเนตร ให้ความเห็นในแง่มุมประวัติศาสตร์ โดยเสนอว่า ข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหารปรากฏขึ้นมาจากเหตุผลทางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอุดมการณ์ชาตินิยมของทั้งสองประเทศ ที่พยายามสร้างความเป็นปึกแผ่นในหมู่ประชาชนขึ้นมา ในช่วงบั้นปลายของยุคอาณานิคม โดยเขาย้อนไปสำรวจความคิดของผู้คนบริเวณเขาพระวิหาร ในสมัยอาณาจักรขอมโบราณ และชี้ว่าผู้คนในดินแดนเหล่านั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวิทยาของภูเขาและปราสาท แตกต่างจากคนในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
กล่าวคือ คนทั้งสองฝั่งเขาพระวิหารมีวัฒนธรรมและระบบคุณค่าบางอย่างร่วมกัน ในแง่ที่พวกเขาต่างก็เคารพและสักการะภูเขาสูง ตามคติแบบพุทธ-ฮินดู ผสมผสานกับคติการนับถือผีของท้องถิ่น ที่เชื่อว่า ภูเขาเป็นที่สิงสถิตของเทพยดาหรืออำนาจเหนือธรรมดาบางอย่างที่คอยปกปักรักษาพวกเขาอยู่ ฉะนั้น คนในวัฒนธรรมเหล่านี้จึงเคารพภูเขาและมักสร้างปราสาทหรือวัดไว้อยู่บนยอดเขา อย่างเช่น ปราสาทพระวิหารนี่เอง ความเข้าใจนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับคนยุคปัจจุบัน ที่มองอะไรเป็นเรื่องพรมแดน เขตแดน และอธิปไตย พวกเขาจึงพยายามผลักดันให้ปราสาทพระวิหารเป็นของใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทั้งที่จริง มันควรจะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันของผู้คนในภูมิภาคมากกว่า
จากนั้น รศ.ดร.พวงทอง ได้ยกประเด็นทางรัฐศาสตร์ที่มีความสำคัญยิ่ง กล่าวคือ ก่อนหน้าปี 2008 ทั้งไทยและกัมพูชา ต่างตกลงที่จะร่วมมือกันผลักดันให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก คำถามก็คือ ทำไมจึงเกิดความร่วมมือระหว่างกันขึ้นมา อาจารย์พวงทองเสนอว่า เป็นเพราะไทยต้องการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการท่องเที่ยว ในสมัยนายกฯ ชาติชาย ชุณหะวัณ ไทยหันมาส่งเสริมการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน ต่อมาในปี 2003 รัฐบาลนายกฯ ทักษิณ ก็พยายามผลักดันให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ในฐานะสัญลักษณ์ของความร่วมมือระหว่างประเทศ จนกระทั่งในสมัยนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ที่บรรยากาศทางการเมืองภายในของไทย ทำให้ความพยายามดังกล่าวถูกโจมตีและวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (PAD) รัฐบาลไทยถูกกล่าวหาว่าขายชาติ ขายแผ่นดิน และท้ายที่สุด เมื่อมาถึงสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ ความร่วมมือดังกล่าวก็มีอันต้องยกเลิกอย่างเป็นทางการ
อาจารย์พวงทองชี้ให้เห็นว่า ถึงตอนนี้ สิ่งที่ทั้งสองประเทศต้องเผชิญก็คือคำตัดสินของศาล ซึ่งในทัศนะของเธอ เป็นไปได้เพียงสองทางคือ ศาลโลกตัดสินยืนตามคำพิพากษาปี 1962 หรือไม่ก็เป็นไปได้ว่าศาลโลกจะไม่มีอำนาจตัดสินคดีดังกล่าว ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ระหว่างทั้งสองประเทศกลับไปสู่ความตึงเครียดแบบเดิมอีกครั้ง ทั้งนี้ รัฐบาลไทยเองก็ไม่กล้าจะดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับประเด็นนี้อย่างจริงจัง เพราะกลัวจะถูกโจมตี ขณะเดียวกัน การไม่พยายามทำอะไรก็ถูกวิจารณ์ว่าไม่มีความพยายามมากพอเสียอีก ซ้ำร้าย ไทยยังไม่เคยมีความพยายามเตรียมผู้คนให้พร้อมรับและยอมรับกับคำตัดสินของศาลโลกเสียอีก ประเด็นเรื่องปราสาทพระวิหารจึงเป็นเครื่องมือที่พร้อมจะถูกหยิบใช้โจมตีรัฐบาลได้ทุกเมื่อ และหนทางจะคลี่คลายปัญหาดังกล่าวก็ดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับบทบาทของกลุ่มต่อต้านทักษิณและทหารมากเป็นพิเศษ
สุดท้าย ฯพณฯ ลุตฟี โรฟ ได้นำเสนอบทบาทของอินโดนีเซีย ในฐานะตัวกลางของอาเซียน ที่พยายามอย่างเต็มที่ที่จะแก้ไขข้อพิพาทดังกล่าว เขาย้อนให้เห็นว่า ในอดีต อาเซียนเต็มไปด้วยความขัดแย้งกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อพิพาททางพรมแดน ที่ยังดำรงอยู่ถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะมีความพยายามส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภูมิภาค ซึ่งรวมไปถึง การลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยมิตรภาพและความร่วมมือ (TAC) ตั้งแต่การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งแรก ในปี 1976 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ เขาแย้งความเห็นของอาจารย์วิทิตที่ว่าข้อพิพาทดังกล่าวเป็นปัญหาระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ มากกว่าจะเป็นปัญหาระหว่างประเทศ โดยเขาเห็นว่า การโจมตีกันบริเวณพรมแดนทั้งสองประเทศ ได้ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาระดับรัฐไปแล้ว ขณะเดียวกัน เขาก็กล่าวถึงจุดยืนของ อินโดนีเซีย ในฐานะอดีตประธานอาเซียน และเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่อการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศในภูมิภาคมาโดยตลอด ว่าพวกเขายังอย่างให้ไทยและกัมพูชาแก้ไขปัญหาอย่างสันติ สนับสนุนให้เกิดการเจรจาทวิภาคี ผ่านกลไกแก้ไขปัญหาของอาเซียน และยึดมั่นในหลักการ ASEAN Way ที่ประเทศต่างๆ จะไม่ใช้ความรุนแรงเข้าแก้ไขปัญหาระหว่างกัน เพื่อเสถียรภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.
ท่านสามารถรับชมวีดิโองานเสวนาได้ที่ Preah Vihear and Phra Viharn: Pathways to A Shared Destiny
ขอขอบคุณ คุณ Bundit Uawattananukul และ เว็บไซต์ประชาไท มา ณ ที่นี้
ไปมาเหมือนกันครับ ได้รับความรู้ไปเต็มอิ่มเลย