ประชาคมอาเซียนกับปัญหาความรุนแรงในชาติสมาชิก
โดย ผศ.ดร. กิตติ ประเสริฐสุข, เชาว์วัฒน์ มูลภักดี
แม้ประชาคมอาเซียนจะประกอบไปด้วย 3 ประชาคมหรือ 3 เสาหลัก อันได้แก่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประชาคมสังคม-วัฒนธรรมอาเซียน (ASCC) และประชาคมการเมืองความมั่นคงอาเซียน (APSC) แต่ดูเหมือนว่าประชาคมเศรษฐกิจจะยังคงเป็นเพียงประชาคมเดียวที่ถูกผลักดันอย่างเอาจริงเอาจังและมีความคืบหน้ามากที่สุด
อย่างไรก็ดี ความท้าทายสำหรับการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเองมีอยู่นานัปการ แต่ประเด็นปัญหาที่ยังไม่ค่อยถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันมากนักในระดับอาเซียน โดยเฉพาะในเวทีประชุมสุดยอดครั้งล่าสุด ก็คือ ปัญหาและความท้าทายอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบ ในหลายพื้นที่ในภูมิภาค ในช่วงที่ผ่านมา ความขัดแย้งทางศาสนาและชาติพันธุ์ในพม่า ได้นำไปสู่การใช้ความรุนแรง ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยราย และมีผู้พลัดถิ่นนับแสนราย ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม แม้ความรุนแรงจะบรรเทาลงแล้ว แต่ความตึงเครียดระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม และผลพวงต่างๆ ของเหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อไป หลังเที่ยงคืนจนถึงเช้ามืดของวาเลนไทน์ปีนี้ โบสถ์คริสต์ 3 แห่งในเกาะสุลาเวสี ของอินโดนีเซียถูกปาด้วยระเบิดเพลิง แม้ตัวอาคารจะไม่ได้รับความเสียหายมากนัก แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็แสดงให้เห็นว่า ความขัดแย้งทางศาสนายังคงเป็นปัญหาที่สังคมอินโดนีเซียต้องเผชิญ เมื่อไม่นานมานี้ ทางการอินโดนีเซียได้ระงับการดำเนินการของโบสถ์หลายแห่งชั่วคราว เพื่อลดเงื่อนไขในการใช้ความรุนแรงต่อโบสถ์คริสต์ ส่งผลให้ชาวคริสต์ออกมาประท้วง จนทางการต้องอนุญาตให้เปิดโบสถ์ได้ในที่สุด
ในประเทศไทยเอง เป็นเวลาเกือบ 10 แล้วที่ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงในเวลาอันใกล้ แม้จะมีกระบวนการพูดคุยสันติภาพที่อำนวยความสะดวกโดยรัฐบาลมาเลเซียก็ตาม
นอกจากนั้น สองเดือนก่อนหน้านี้ กองกำลังในนามของสุลต่านซูลูคิรามที่ 3 จากเกาะซูลูของฟิลิปปินส์บุกยึดเมืองลาหัต ดาตู ในรัฐซาบาห์ของมาเลเซีย เหตุการณ์จบลงด้วยการที่รัฐบาลมาเลเซียส่งกองทัพเข้าปราบปรามกองกำลังดังกล่าว จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 70 คนนำมาสู่ความร้าวฉานระหว่างรัฐบาลมาเลเซียกับรัฐบาลฟิลิปปินส์
ถามว่าปัญหาข้างต้นอาเซียนมีบทบาทอย่างไรบ้าง และปัญหาดังกล่าวเกี่ยวข้องอย่างไรกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ที่ทุกฝ่ายกำลังมุ่งให้ความสำคัญกันอยู่ในขณะนี้ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่บรูไน เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา นอกจากประเด็นข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ที่ไทยเสนอจะเป็นเจ้าภาพหารือในเรื่องนี้และการพูดคุยกันถึงบทบาทของอินโดนีเซียในการพยายามเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางศาสนาในพม่าแล้ว ที่ประชุมสุดยอดอาเซียนแทบจะไม่ได้กล่าวถึงเรื่องความรุนแรงในกรณีข้างต้นเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นประเด็นที่จัดว่าอยู่ในเสาการเมืองความมั่นคงโดยตรง และในหลายกรณีก็คาบเกี่ยวกับเสาสังคมวัฒนธรรมอาเซียน การละเลยต่อปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงหลักการที่อาเซียนยึดถือมาโดยตลอดคือการไม่แทรกแซงกิจการภายในระหว่างกัน และแนวทางที่เน้นความสบายใจ (comfort level) ของทุกฝ่าย ซึ่งถูกตั้งคำถามตลอดมาว่าจุดสมดุลของหลักการและแนวทางดังกล่าวนั้นอยู่ที่ใด ยิ่งไปกว่านั้น ในกรณีความขัดแย้งระหว่างสามัญชน (People-to-People Conflicts) ดังเช่นที่เกิดขึ้นในพม่าและอินโดนีเซีย ที่รัฐบาลของทั้งสองประเทศหากไม่ถูกมองว่าเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ ก็ถูกมองว่ามีส่วนช่วยเสริมแรงโดยอ้อมแก่กลุ่มชนส่วนใหญ่เข้าใช้ความรุนแรงต่อคนส่วนน้อย แทนที่จะทำหน้าที่อย่างแข็งขันในการระงับยับยั้งความขัดแย้งและความรุนแรงให้จบลงเร็วที่สุด การที่อาเซียนแทบไม่ได้มีมาตรการเชิงรูปธรรมใดๆ ต่อกรณีดังกล่าวออกมา ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงการใช้หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในและแนวทางที่เน้นความสบายใจของทุกฝ่าย (ยกเว้นประชาชนผู้ถูกกระทำ) ซึ่งท้ายที่สุดอาเซียนก็จะถูกมองว่าเพิกเฉยและไม่แยแสต่อผู้ถูกกระทำ
หากอาเซียนไม่สามารถบริหารจัดการความรุนแรงในกรณีข้างต้นได้ ปัญหานี้จะเป็นปัจจัยที่ถ่วงรั้งหนทางสู่ความสำเร็จของจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจ ประชาคมเศรษฐกิจไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยอาศัยเพียงกลไกของตัวมันเอง แต่ต้องอาศัยบรรยากาศแวดล้อมทางการเมืองและสังคมด้วย
ดังนั้น อาเซียนจึงไม่เพียงจะต้องตระหนักว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การเมือง-ความมั่นคง และสังคมวัฒนธรรมจะต้องดำเนินควบคู่กันไปเท่านั้น หากแต่ต้องเร่งรัดการพัฒนากลไกและมาตรการต่างๆ ในเสาการเมืองความมั่นคง และเสาสังคม-วัฒนธรรมให้มีความคืบหน้าทัดเทียมกับเสาเศรษฐกิจให้เร็วที่สุดด้วย ทั้งนี้ มิใช่เพื่อความสำเร็จของการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่เพื่อตอบโจทย์ที่ใหญ่กว่าซึ่งก็คือ การสร้างอาเซียนให้เป็นสังคมแห่งสันติสุขอย่างแท้จริงแล้ว
*บทความชิ้นนี้ เผยแพร่ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556