งานเปิดศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา
และปาฐกถาพิเศษเรื่อง
“สยาม/ไทยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา : ความรู้เรื่องไทยท่ามกลางภูมิภาค”
โดย ศาสตราจารย์ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล
จัดโดย ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2556 สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา ได้จัดงานเปิดศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ซึ่งมีปาฐกถาหัวข้อ “สยาม/ไทยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา : ความรู้เรื่องไทยท่ามกลางภูมิภาค” โดย ศาสตราจารย์ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน – แมดิสัน สหรัฐอเมริกา
อาจารย์ธงชัยได้พาสำรวจการรับรู้ในความรู้เรื่องไทย ว่ามีความเป็นมาอย่างไรและในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและตั้งคำถามว่า ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้วหรือยัง โดยได้ชี้ว่า คนไทยมักรับรู้ประวัติศาสตร์ไทยในฐานะรวมกับเป็นรัฐที่ตัดขาดจากภูมิภาคไม่ได้วางไว้ในตำแหน่งแห่งที่ที่มีบริบทของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความรู้เรื่องไทยที่รับรู้กันโดยทั่วไปคือ รัฐและประเทศไทยมีวิวัฒนาการมาจากรัฐเกษตรกรรม เป็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชาวนา สังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรมมีความเปลี่ยนแปลงน้อย สังคมไทยเปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ รู้จักที่ต่ำที่สูง เป็นสังคมที่มีระเบียบ ในขณะเดียวกันก็มองว่าฝรั่งเป็นตัวแทนของความทันสมัยความเจริญและพัฒนา ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวกัดเซาะคุณธรรมและความดีงามแบบไทยให้เสื่อมโทรมเพราะนิยมในวัตถุ ความรู้เรื่องไทยนี้เป็นฐานที่ดื้อดึงต่อความเปลี่ยนแปลง
ในมุมมองของตะวันตกความรู้เรื่องไทยและความรู้เกี่ยวกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้มีความคงที่ถาวร แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขและบริบท โดยแบ่งได้เป็น 2 ช่วงใหญ่ๆ ดังนี้
ในยุคอาณานิคม ความรู้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีรูปแบบ (Style) อย่างหนึ่งและมีความเปลี่ยนไป เป็นความรู้แนวบูรพทิศศึกษา (Orientalism) เป็นการศึกษาแบบคลาสสิค โดยชุดความรู้นี้ที่ใช้ทำความเข้าใจภูมิภาคได้ถูกทำให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคม และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่ถูกศึกษาโดยอาณานิคม ในขณะเดียวกันการศึกษาของไทยเกี่ยวกับไทยก็ได้ปรับมาจากอังกฤษถูกจัดระเบียบโดยชนชั้นนำไทยมีผลต่อการผลิตความรู้แบบที่เป็นมา เจ้าอาณานิคมเห็นว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมรดกอารยธรรมโบราณที่ยิ่งใหญ่ เจ้าอาณานิคมเป็นผู้รักษามรดกเหล่านี้ ซึ่งนักวิชาการยุคคลาสสิคนี้ไม่ได้เป็นเครื่องมืออาณานิคมแต่วิธีการศึกษาอยู่ในกรอบอาณานิคม
เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ภูมิภาคศึกษา (Area Studies) ได้รับอิทธิพลจากสหรัฐอเมริกาที่เข้ามามีบทบาทแทนที่ยุโรป โดยแบ่งระยะการศึกษาภูมิภาคเป็น 2 ระยะคือ ก่อนสงครามเวียดนามและหลังสงครามเวียดนาม ยุคที่สหรัฐเข้ามาศึกษาภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในลักษณะภูมิภาคศึกษา เป็นการศึกษาในด้านสังคมศาสตร์ เช่น รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ มานุษยวิทยา ไม่ใช่การศึกษาในเรื่องอารยธรรมโบราณแบบสมัยอาณานิคม สหรัฐเน้นภูมิภาคศึกษาเพื่อการพัฒนา (Modernization) เพื่อการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ภูมิภาคศึกษาจึงเน้นทางสังคมศาสตร์
แวดวงวิชาการที่มีผลต่อความรู้เรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง ความรู้เรื่องไทยศึกษาย่อมได้รับอิทธิพลจากความรู้ดังกล่าวรวมทั้ง area studies โดยความรู้อยู่ในบริบทหรือเงื่อนไขบางอย่าง แต่เงื่อนไขภายในก็มีผลอย่างมาก โดยความรู้เรื่องไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคตลอดเวลา แต่ในสังคมไทยมีการศึกษาเรื่องไทยอย่างเป็นเอกเทศ ดังเพชรเม็ดงามที่ลอยอยู่ ซึ่งที่จริงไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาค อย่างความรู้เรื่องไทยแบบ Indianization ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระแสโลก
โดยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาโลกตะวันตกสนใจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นแบบ Single Ocean เป็นการศึกษาที่มากกว่ายุคสงครามเวียดนาม เน้นความเชื่อมต่อของภูมิภาคในทางทะเล มีการตอบสนองต่อสิ่งเดียวกัน เป็นการเน้นความเชื่อมต่อทางวัฒนธรรม ความเชื่อมต่อทางมานุษยวิทยาที่มีร่วมกัน จะพบว่า โลกตะวันตกศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบบภูมิภาคศึกษา
ในขณะที่ความรู้เรื่องไทยได้รับอิทธิพลจากตะวันตก แต่ก็สร้างบริบทความรู้ในแบบหนึ่ง ยุคอาณานิคมการศึกษาเรื่องไทยก็ได้รับอิทธิพลอาณานิคม เมื่อเศรษฐศาสตร์ของความรู้ก็ไม่ได้ตัดขาดจากโลกตะวันตก เพื่อตอบสนองการพัฒนาในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
แต่การรับรู้ในความรู้เรื่องไทยและภูมิภาคเท่าที่เข้าใจกันเป็นแบบไทยเป็นศูนย์กลาง (Thaicentricism) ที่ไทยมีความพิเศษกว่า เหนือกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งสิ่งที่เราควรจะตระหนักในปัจจุบันคือ ได้หมดยุคพ้นสมัยไปและหมดเงื่อนไขแล้วที่จะผลิตซ้ำมีความรู้แบบนี้ แต่สังคมไทยก็ยังคงผลิตความรู้ในแบบนี้
หลังการปาฐกถา ศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ได้แสดงความคิดเห็นว่า การสร้างความรู้จาก area studies เป็นมุมมองจากยุโรป – อเมริกา เป็นการศึกษาภูมิภาคอื่นที่ไม่มีการศึกษาตัวเอง องค์ความรู้ในเรื่องนี้จึงมีลักษณะของการวิพากษ์สูง ในขณะที่ไทยศึกษาของไทยเองนั้นก็อยู่ภายใต้อคติของตนเอง